ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ให้ความสำคัญแก้ไขปัญหาโรคจากวิถีชีวิตหรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง  เนื่องจากกำลังกลายเป็นปัญหารุนแรงระดับโลก กำหนดถกผู้นำกว่า 190 ประเทศทั่วโลกกลางเดือนกันยายนปีนี้ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนไทยชูแผนยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทยแก้ปัญหา และโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวงทรงห่วงใยสุขภาพประชาชนฯ ตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันโรคทุกจังหวัด 

          วันนี้ (11 กรกฎาคม 2554) ที่โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ และนักวิชาการสาธารณสุข   เพื่อมอบนโยบายและวางทิศทางการควบคุมป้องกันปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาของประเทศอย่างเป็นระบบ ตามโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวงทรงห่วงใยสุขภาพประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7รอบ 5ธันวาคม 2554  

                  

                  

นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวว่า ขณะนี้โรคไม่ติดต่อ หรือโรคจากพฤติกรรมวิถีชีวิต กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของทุกประเทศทั่วโลกนำหน้าโรคติดต่อที่มีเชื้อโรคเป็นตัวการและจะทวีความรุนแรงมากในกลุ่มประเทศที่มีฐานะยากจน ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าในปี 2548 ปีเดียว ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคจากวิถีชีวิตมากถึง 35ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 60ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด 58 ล้านคน หากไม่เร่งแก้ไขคาดว่าในปี 2558จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17หรือประมาณ 41 ล้านคน   เป็นปัญหาระดับโลก  และเป็นหัวข้อสำคัญในที่ประชุมองค์การอนามัยโลกและล่าสุดองค์การสหประชาชาติ ได้ให้ความสำคัญ และกำหนดประชุมผู้นำประเทศกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ในการประชุมสหประชาชาติ ในกลางเดือนกันยายนนี้ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา   นับเป็นประเด็นสุขภาพเรื่องที่สาม ถัดจากโรคเอดส์และการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ถูกนำเสนอในเวทีสหประชาชาติ
          นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถูกมองว่าเป็นปัญหาของประเทศที่เจริญแล้ว เป็นโรคของคนรวย ซึ่งความจริงแล้ว โรคไม่ติดต่อเรื้อรังจะเป็นปัญหาหนักในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาขาดความพร้อมในการดูแลรักษาและการป้องกันโรคแทรกซ้อนที่จะตามมา ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยโรคเหล่านี้สูงมาก เฉพาะในส่วนของประเทศไทย แต่ละปีเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ 5 โรคได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองและมะเร็ง ตกปีละเกือบสองแสนล้านบาทจำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ที่สำคัญโรคเหล่านี้ยังมีผลทำให้เกิดผู้ป่วยอัมพาตหรือพิการเพิ่มมากขึ้นด้วย จึงต้องเร่งหามาตรการป้องกันควบคุมที่เหมาะสม
                  
    นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้นำยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย เป็นแนวทางหลักในการควบคุมและป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยได้จัดทำโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวงทรงห่วงใยสุขภาพประชาชนฯ เป็นโครงการต่อเนื่อง 3ปี ระหว่างพ.ศ.2552-2554 เป้าหมายหลักคือการตรวจคัดกรองหาโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่มีอายุ 35ปีขึ้นไปทุกคนซึ่งมีประมาณ 45ล้านคน  ขณะนี้สามารถคัดกรองโรคเบาหวานได้เกือบ 21 ล้านคน  พบผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ร้อยละ 15 หรือ 3.1ล้านคน โดยแยกเป็นกลุ่มเสี่ยงจะป่วย 1,710,521คน เป็นผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ 353,189คน และป่วยรายเก่ามาอยู่แล้ว 1,070,737 คน ในจำนวนนี้มีโรคแทรกซ้อนด้วยร้อยละ 10มากที่สุดคือตาต้อกระจก รองลงมาคือแผลที่เท้าและไตวาย
ส่วนโรคความดันโลหิตสูง ตรวจคัดกรองไปแล้ว 21ล้านกว่าคน  เป็นกลุ่มที่มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติและเสี่ยงจะป่วย 2.4 ล้านคน  เป็นผู้ป่วยรายใหม่ 651,867 คน และป่วยรายเก่า 1.5ล้านคน  ในจำนวนนี้ตรวจพบโรคแทรกซ้อนร้อยละ 6   อันดับ 1 คือโรคหัวใจรองลงมาคือเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก และไตวาย 
อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จะต้องอาศัยการทำงานร่วมหลายหน่วยงาน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในระดับบุคคล กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทุกจังหวัด โดยมีคณะกรรมการ 2 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการอำนวยการควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นเลขาคณะกรรมการ ดำเนินการเรื่องฐานข้อมูล ตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินงาน รวมทั้งกิจกรรมรณรงค์ เพื่อให้ได้รูปแบบการทำงานเป็นรูปธรรม   และชุดคณะกรรมการแก้ไขระดับจังหวัดและอำเภอ โดยให้มีการประชุมติดตามผลการดำเนินงานทุกๆเดือน มั่นใจว่าจะสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาได้ผล เพราะไทยมีโครงสร้างการสาธารณสุขที่ดี โดยมีสถานบริการสาธารณสุข ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งมีอาสาสมัครสาธารณสุขกำลังสำคัญทำงานกับเจ้าหน้าที่ในชุมชน โดยโครงการนี้ใช้เป็นแนวทางควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ต่อไป 
        ******************************************** 11 กรกฎาคม 2554


   
   


View 19    11/07/2554   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ