รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ควบคุมการนำเข้าอาหารจากญี่ปุ่นที่มีความเสี่ยงปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี โดยเฉพาะอาหารที่ผลิตจาก 9 จังหวัด ได้แก่ฟูกุชิมะ, กุมมะ , อิบารากิ,โทจิงิ,มิยางิ,โตเกียว,ชิบะ,คานากาวะและชิซูโอกะ ต้องแสดงหลักฐานการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานของรัฐ คาดมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

                    นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดเงื่อนไขการนำเข้าอาหารจากประเทศญี่ปุ่นที่มีความเสี่ยงจากการปนเปื้อนสารกัมตรังสี พ.ศ.2554 เพื่อควบคุมมาตรฐานอาหาร และคุ้มครองสุขภาพประชาชนไทยให้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย

                    นายบุณย์ธีร์ กล่าวว่า ตามประกาศกระทรวงฯฉบับดังกล่าว กำหนดให้อาหารนำเข้าประเทศไทยทุกประเภทยกเว้นวัตถุเจือปนอาหาร วัตถุแต่งกลิ่นรส วัตถุที่ใช้รักษาคุณภาพอาหาร ที่ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ในเขตพื้นที่ 9 จังหวัดได้แก่ ฟูกุชิมะ,กุมมะ,อิบารากิ,โทจิงิ,มิยางิ,โตเกียว,ชิบะ,คานากาวะและชิซูโอกะ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานอาหารที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี โดยตรวจพบได้ไม่เกินค่ากำหนด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องมาตรฐานอาหารปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี 2 ชนิด ลงวันที่ 11 เมษายน 2554 ได้แก่ ไอโอดีน-131 ( Iodine-131 ) กำหนดไม่เกิน 100 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัมหรือเบคเคอเรลต่อลิตร และซีเซียม-134(Cesium-134 ) และซีเซียม-137 (Cesium-137)รวมกัน ไม่เกิน 500 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม หรือเบคเคอเรลต่อลิตร โดยคาดว่าจะสามารถประกาศในราชกิจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ภายในต้นเดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นไป

                  ทั้งนี้ ผู้นำเข้าอาหารจากพื้นที่ 9 จังหวัดที่กล่าวมา จะต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ที่ประจำด่านนำเข้าทุกครั้ง โดยระบุประเภท ชนิดอาหาร ปริมาณสารกัมมันตรังสี และพื้นที่ผลิตอาหาร จากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ได้แก่ 1.หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบของประเทศญี่ปุ่น 2.หน่วยงานอื่นที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบของญี่ปุ่น 3.ห้องปฏิบัติการของหน่วยงานรัฐ 4.ห้องปฏิบัติการที่ได้รับมอบหมายหรือได้รับการรับรองจากหน่วยงานรัฐ 5.ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองความสามารถตามมาตรฐานสากล

                  นายบุณย์ธีร์ กล่าวต่อว่า ผู้นำเข้าอาหารจากพื้นที่อื่น นอกเหนือจาก 9 จังหวัดที่กล่าวมาข้างต้น ต้องมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดของสินค้าที่มีการ เพาะปลูก หรือเพาะเลี้ยง หรือผลิตในเขตดังกล่าว ซึ่งออกโดยหน่วยงานของรัฐของประเทศญี่ปุ่น หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบของประเทศญี่ปุ่น หรือสภาหอการค้าและอุตสาหกรรม (Chamber of Commerce and industry) ของประเทศญี่ปุ่น แสดงที่ด่านนำเข้าทุกครั้ง กรณีไม่มีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดของสินค้า ผู้นำเข้าอาจใช้หลักฐานแสดงผลการตรวจวิเคราะห์ ระบุประเภท ชนิดอาหาร และปริมาณกัมมันตรังสีจากหน่วยงานที่รับผิดชอบของรัฐ หรือ ห้องปฏิบัติการทดสอบที่ได้รับการรับรองความสามารถมาตรฐานสากล แทนก็ได้

                                   ********************************************* 30 กรกฎาคม 2554



   
   


View 9       ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ