ปลัด สธ. ติดตามการดูแลรักษา “พระ-ผู้แสวงบุญ” ในดินแดนพุทธภูมิ จัดส่งทีมแพทย์ 6 รุ่น รวม 60 คน
- สำนักสารนิเทศ
- 15 View
- อ่านต่อ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหนุนพัฒนาให้ประเทศไทย เป็นผู้นำด้านการแพทย์ดั้งเดิมในภูมิภาคอาเซียน เผยในปี 2552 มีการใช้ยาสมุนไพรในสถานพยาบาลสูงเกือบ 400 ล้านบาท มีประชาชนใช้บริการการแพทย์แผนไทย 12 ล้านกว่าคน ปีนี้ทุ่มเงิน 33 ล้านบาท จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ที่อิมแพคเมืองทองธานี ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้วิชาการ สัมผัสคุณค่าสมุนไพร การแพทย์แผนไทย และการแพทย์พื้นบ้าน
วันนี้(22 สิงหาคม 2554) ที่โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพมหานคร นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นายถวัลย์ สุวรรณเตมีย์ เจ้าของร้านขายสมุนไพร “เจ้ากรมเป๋อ” และนายเพ็ง สุขบัว หมอยาพื้นบ้านเมืองเลย พ่อเฒ่าอายุ 95 ปี ผู้มีประสบการณ์การใช้หมามุ่ย เป็นยาแฮง แถลงข่าวการจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ภายใต้แนวคิด “ยาไทย เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี Herb for All” ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 4 กันยายน 2554 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
นายวิทยา กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเป็นมายาวนานและมีวัฒนธรรมประเพณีเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์แผนไทย ที่มีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ คือเรื่องการนวดไทย และยาไทย มีชาวต่างชาติจำนวนมากลงทุนบินมาเรียนนวดไทย นำความรู้ไปเขียนตำราไปสอน ส่วนยาไทยมีหลายตำรับที่ทำให้ต่างชาติรู้จักคนไทยดีขึ้น เช่นเปลือกมังคุด ราชินีแห่งผลไม้ไทย ที่เราใช้มานาน ต่างชาติเพิ่งวิจัยพบว่าเปลือกมังคุดของไทยมีสารต้านอนุมูลอิสระหรือฤทธิ์ต้านมะเร็งสูงที่สุด หรือกรณีของ เปล้าน้อยที่นำไปพัฒนาเป็นยารักษาโรคกระเพาะอาหาร
นายวิทยา กล่าวว่า ในปี 2558 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า ประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะมีการรวมตัวกัน ซึ่ง เป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะมีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ดั้งเดิมหรือการแพทย์แผนไทย ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการแพทย์ดั้งเดิมในภูมิภาคอาเซียนได้ ทั้งการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพให้คนไทยอายุยืน การฟื้นฟูสุขภาพ รวมทั้งการวิจัยเพื่อพัฒนาสมุนไพรเป็นยารักษาโรค หรือใช้เป็นเครื่องสำอางดูแลความสวยความงาม ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูง เนื่องจากไทยมีความพร้อมทางด้านวิชาการ บุคลากร มีหมอพื้นบ้านจำนวนมากที่มีประสบการณ์ และมีสมุนไพรจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้จะต้องพัฒนาแบบบูรณาการ ระดมการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนทั้งรัฐเอกชน ประชาชน เพื่อให้เกิดมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับทางวิชาการ ขณะนี้ไทยได้บรรจุยาสมุนไพรเข้าในรายการยาบัญชียาหลักแห่งชาติใช้รักษาโรคเหมือนยาแผนปัจจุบันในสถานพยาบาลทั่วประเทศ จากเดิมมี 19 รายการ เป็น 71 รายการ ในปี 2554
ทั้งนี้จากการติดตามประเมินผลสถานการณ์ด้านการแพทย์แผนไทยล่าสุดในปี 2552 ในด้านการพัฒนาและการใช้ยาสมุนไพร ไทยมีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณทั้งหมด 12,025 ตำรับ ร้อยละ 99 เป็นยาใช้ในคน ส่วนใหญ่เป็นยาเม็ด ยาผง ยาน้ำ โดยสถานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมีการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคมูลค่ารวม 391 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 2 ของยาแผนปัจจุบันที่ใช้ทั้งหมด 20,000 กว่าล้านบาท ส่วนด้านบริการด้วยการแพทย์แผนไทย มีสถานพยาบาลภาครัฐให้บริการทั้งหมด 2,521 แห่ง มีผู้รับบริการทั้งหมด 12 ล้านกว่าคน หรือประมาณร้อยละ 10 ของผู้รับบริการทั้งหมด โดยร้อยละ59 ใช้ยาสมุนไพรรักษา อีกร้อยละ 35 เป็นการนวดเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและเพื่อการรักษา
ด้านแพทย์หญิงวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 8 จัดที่อาคาร 7 – 8 อิมแพคเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เริ่มเวลา 10.00 – 20.00 น. ใช้งบลงทุน 33 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและได้สัมผัสการใช้การแพทย์ดั้งเดิมและสมุนไพรเพื่อการดูแลตนเอง ซึ่งมหกรรมครั้งนี้จะทำให้ไทยบรรลุวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำด้านการแพทย์ดั้งเดิมได้รวดเร็วขึ้น กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการประชุมวิชาการด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก นิทรรศการยาไทย ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาไทยทุกภาค หลากตำรับ ตรวจสุขภาพเด็ก วัยรุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทย แผนจีน และแพทย์ทางเลือก อบรมระยะสั้นมากกว่า 40 หลักสูตร เช่น การทำลูกประคบ สีผึ้งสมุนไพร แชมพูและยาสีฟันสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สปา การทำชันตะเคียน การนวดตนเอง การกดจุดบำบัด การนวดเด็กแบบจีน และโยคะเพื่อการพึ่งตนเอง มีการแนะนำสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งภายในงานจะมีสูตรและวิธีการทำ สามารถให้ประชาชนทั่วไปสามารถนำสูตรนี้ นำกลับไปใช้เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพของตนเองได้ การปรุงยาสมุนไพร เช่น ยาดอง และแจกต้นสมุนไพรและหนังสือสมุนไพร ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรีตาม วัน และเวลา ดังกล่าวข้างต้น
......................................... 22 สิงหาคม 2554