กระทรวงสาธารณสุข จัดทำโครงการผลิตทันตาภิบาลเร่งด่วน จำนวน 3,200 คน ในปี 2555-2556 แก้ปัญหาการขาดแคลนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อให้บริการดูแลส่งเสริมสุขภาพปากและฟันประชาชนที่อยู่ในชนบทประมาณ 50 ล้านคน คาดจะเริ่มรับสมัครปีแรกจำนวน 1,600 คนในเดือนมิถุนายน 2555 นี้ เผยขณะนี้มีทันตาภิบาลปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลประมาณ 1,500 คน เท่านั้น นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาสถานีอนามัย เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 9,750 แห่ง ทั่วประเทศ และได้ปรับยุทธศาสตร์การทำงานเน้นการให้บริการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคเป็นหลัก และให้การรักษาพยาบาลการเจ็บป่วยเบื้องต้นแก่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ชนบทซึ่งมีประมาณ 50 ล้านคน อย่างไรก็ดี จากการสำรวจบุคลากรของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พบว่ามีความขาดแคลนทันตาภิบาล ซึ่งทำหน้าที่ในการดูแล ส่งเสริมสุขภาพช่องปากและฟัน มากถึงร้อยละ 80 โดยมีทันตาภิบาลปฏิบัติงานเพียงประมาณ 1,500 แห่งหรือประมาณร้อยละ 20 เท่านั้น ส่วนที่เหลือประชาชนต้องเดินทางไปใช้บริการที่โรงพยาบาลชุมชน นายวิทยากล่าวต่อว่า ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในปี 2555 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายจัดทำโครงการผลิตทันตาภิบาล เพื่อปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นกรณีเร่งด่วน จำนวน 3,200 คน ระหว่างพ.ศ. 2555-2556 ผลิตปีละ 1,600 คน โดยใช้งบประมาณจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปีละ 30 ล้านบาท ทางด้านนายแพทย์นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โดยทั่วไป สถาบันพระบรมราชชนก ผลิตทันตาภิบาลในระบบปกติปีละ 300-400 คน ในการผลิตทันตาภิบาลแก้ไขปัญหาเร่งด่วนนี้ จะเริ่มรับนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่เช่นหมู่บ้าน ตำบล หรือในอำเภอนั้นๆ เข้าเรียน โดยศึกษาที่วิทยาลัยการสาธารณสุข สังกัดสถาบันพระบรมราชชนกที่มี 7 แห่งทั่วประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2555และจะฝึกภาคปฏิบัติในโรงพยาบาลชุมชน ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะส่งไปปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เช่นถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน เคลือบหลุมร่องฟัน ใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปหาทันตแพทย์ที่โรงพยาบาลชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ป้องกันปัญหาฟันผุ ในเด็กนักเรียน เด็กเล็กในพื้นที่ด้วย นายแพทย์นิทัศน์ กล่าวต่อว่า ผลการสำรวจสุขภาพช่องปากประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในระดับประเทศครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2550 พบว่าเด็กอายุ 3 ปี พบฟันน้ำนมผุร้อยละ 61 พบในเด็กที่อยู่ในเขตชนบทร้อยละ 67 ในเขตเมืองพบร้อยละ 55 กลุ่มเด็กอายุ 5 ปี พบว่ามีประสบการณ์ฟันผุร้อยละ 81 กลุ่มเด็กอายุ 12 ปี พบฟันผุร้อยละ 57 มีประสบการณ์ฟันผุ พบในภาคกลางสูงสุดเฉลี่ยร้อยละ 64 กลุ่มอายุ 15 ปี มีฟันผุร้อยละ 66 พบในชนบทสูงกว่าเขตเมือง ส่วนในกลุ่มอายุ 35-44 ปี พบร้อยละ 83 สูญเสียฟัน เฉลี่ยคนละเกือบ 4 ซี่ ในกลุ่มผู้สูงอายุ เสียฟันมากกว่ากลุ่มอื่น เฉลี่ยมากกว่า 10 ซี่ และยังพบฟันที่เหลือมีปัญหาผุที่รากฟันด้วย จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากทันตบุคลากรตั้งแต่เด็ก ซึ่งจะสามารถปลูกฝังพฤติกรรมการดูสุขภาพช่องปากอย่างถูกต้อง และจะสามารถลดการสูญเสียฟันในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้ ********************************************* 12 กุมภาพันธ์ 2555


   
   


View 14    12/02/2555   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ