เพิ่มโทษสถานหนักผู้ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5 แสนบาท

กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอร่างกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่  รวบ 2 ฉบับเดิม ปรุงให้ทันสมัย มี 9 หมวด 80 มาตรา อาทิห้ามขายในสถานที่ต้องห้าม 4 ประเภท เช่นศาสนสถาน สถานศึกษา เป็นต้น ห้ามผู้ขายอายุต่ำกว่า 18 ปี ห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ห้ามขายทางอินเทอร์เน็ต เพิ่มบทลงโทษรุนแรงขึ้น หากสูบในที่ห้ามเพิ่มค่าปรับจาก 2,000 บาท เป็น 5,000 บาท หากฝ่าฝืนเผยแพร่ซีเอสอาร์บุหรี่โทษหนักจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับเพิ่มรายวันๆละไม่เกิน 50,000 บาท คาดว่าจะประกาศใช้ได้ในปีหน้า
 
วันนี้ (16 สิงหาคม 2555) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ และศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังเปิดประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 11 เรื่อง “การแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ” จัดโดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมการยาสูบ หรือศจย. มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างวันที่ 16-17 สิงหาคม 2555 โดยมี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพหรือสสส. และเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมสนับสนุน
 
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการปรับปรุงยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ เพื่อใช้แทนกฎหมายเดิม 2 ฉบับ ซึ่งใช้มานาน 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2535 คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ จำนวน 26 มาตรา และพ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ จำนวน 15 มาตรา โดยผนวกให้เป็นฉบับเดียวและปรับปรุงบทบัญญัติให้มีความทันสมัย  ทันสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง อาทิ กลยุทธ์การตลาดของบริษัทบุหรี่ ผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ๆ ที่ออกสู่ท้องตลาด เพื่อปกป้องสุขภาพคนไทยที่ไม่สูบบุหรี่ 51 ล้านคน ให้ปลอดภัยจากการสูดควันบุหรี่หรือบุหรี่มือสอง ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล เนื่องจากบุหรี่เป็น 1 ใน 4 สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยป่วยและเสียชีวิตจากโรคเรื้อรัง เสียค่ารักษาแพงและไม่หายขาด อาทิ โรคถุงลมปอดโป่งพอง มะเร็ง โรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเยาวชนไทยซึ่งผลการสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ระดับโลกรอบล่าสุดในปี 2554 พบว่า มีแนวโน้มสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น และอายุที่เริ่มสูบเร็วขึ้นเป็น 17.4 ปี จากในปี 2552 ที่เริ่มสูบเมื่ออายุ 18.5 ปี
  
ตามร่างกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่นี้ มีทั้งหมด 9 หมวด 80 มาตรา ให้ความหมายของผลิตภัณฑ์ยาสูบใหม่ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของใบยาสูบหรือพืชนิโคเทียนานทาแบกคุม (Nicotianatabcum) รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นที่มีสารนิโคตินเป็นส่วนประกอบ บริโภคโดยวิธีสูบ ดูด อม เคี้ยว กิน เป่าหรือพ่นเข้าไปในปากหรือจมูก ทา หรือโดยวิธีอื่นเพื่อให้ได้ผลเช่นเดียวกัน และจะห้ามการขายหลายรูปแบบ ได้แก่ 1.เพิ่มอายุขึ้นต่ำที่จะซื้อบุหรี่จากเดิมอายุ 18 ปี เป็น 20 ปี ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มเยาวชนเพิ่มจากเดิมได้อีกกว่า 2 ล้านคน และห้ามคนอายุต่ำกว่า 18 ปีขายบุหรี่ 2.ห้ามการขายที่ทำให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ง่าย เช่น ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบโดยใช้เครื่องขายอัตโนมัติ ขายทางอินเตอร์เน็ต  การเร่ข่าย การลดแลกแจกแถม การส่งเสริมการขาย 3.ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบบุหรี่ซิกาแรตต่ำกว่าซองละยี่สิบมวน ห้ามแบ่งขายเป็นมวนๆ    และ 4.ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบในสถานที่ต้องห้าม 100 เปอร์เซนต์ 4 แห่ง ได้แก่ สถานศึกษา ศาสนสถาน สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานที่ราชการหรือรัฐวิสาหกิจ 5.ห้ามแสดงชื่อหรือเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ยาสูบ ผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าในทุกสื่อ รวมทั้งห้ามเผยแพร่กิจกรรม ซีเอสอาร์ เป็นต้น รวมทั้งได้เพิ่มบทลงโทษรุนแรงขึ้น เช่นหากสูบในพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่เพิ่มค่าปรับจากเดิม 2,000 บาทเป็น 5,000 บาท หากฝ่าฝืนเผยแพร่กิจกรรม     ซีเอสอาร์บุหรี่ มีโทษสถานหนักจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับเพิ่มรายวันๆละไม่เกิน 50,000 บาทหากยังมีการฝ่าฝืนต่อเนื่อง
  
ขณะนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ โดยเสร็จสิ้นไปแล้ว 2 ภาค คือ ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในภาคเหนือในวันที่ 17 สิงหาคม 2555 ที่ จ.เชียงราย และภาคกลาง วันที่ 14 กันยายน 2555 ที่ จ.นนทบุรี พร้อมทั้งได้แจ้งเวียนหน่วยงานราชการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สอบถาม     ความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ www.tobaccohearing.com  เฟซบุ๊ค http://apps.facebook.com/tobaccohearing  และ      อีเมล์ tobaccohearing@gmail.com  ส่วนใหญ่ทุกฝ่ายเห็นด้วย โดยจะปรับปรุงแก้ไขร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุด และนำเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบระดับชาติ หรือ คบยช. และครม.พิจารณาต่อไป คาดว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ สามารถประกาศใช้ในปีหน้า ถือว่าเป็นกฎหมายควบคุมยาสูบชั้นนำระดับโลก
 
ด้านดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์  อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ทุกวันนี้ บริษัทบุหรี่จะทำทุกวิถีทางในการแข่งขันการค้ายาสูบเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท และพยายามทุกวิถีทางที่จะคัดค้าน หน่วงเหนี่ยวมาตรการควบคุมยาสูบที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขจะทยอยผลักดันออกมา ตามพันธกรณีที่รัฐบาลไทยมีต่อองค์การอนามัยโลก ภายใต้อนุสัญญาควบคุมยาสูบ เช่น การเปิดเผยส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ที่ไทยยังทำไม่สำเร็จ การแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน ซึ่งมีบริษัทบุหรี่ข้ามชาติสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง การแก้ปัญหาการฝ่าฝืนกฎหมายห้ามโฆษณาทั้งทางตรงและทางอ้อม การห้ามสูบบุหรี่ในสถานบันเทิง ผับ บาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเรื่องที่บริษัทบุหรี่ไม่ต้องการให้ประเทศใดๆ รวมทั้งไทยประสบความสำเร็จ ดังนั้นนโยบายการป้องกันการแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ จะต้องห้ามส่วนราชการทุกหน่วยรับการอุปถัมภ์จากธุรกิจยาสูบ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ออกระเบียบกำหนดให้บริษัทบุหรี่ต้องจัดส่งรายงานประจำปีให้คณะกรรมการควบคุมยาสูบ และออกระเบียบการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับบริษัทบุหรี่ให้โปร่งใส มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นมา 
 
ด้าน นพ.หทัย ชิตานนท์   ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย กล่าวว่า บริษัทบุหรี่ข้ามชาติได้พยายามบั่นทอนมาตรการควบคุมยาสูบของไทยโดยตลอดมา  ผมขอยกตัวอย่างที่ชัดเจน  เช่น 1) เอกอัคราชทูตสหรัฐฯ นำกลุ่มบริษัทบุหรี่และสุราเข้าพบ รมว. สธ. เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 ผู้แทนบริษัทฟิลลิปมอร์ริสร้องว่า สธ.ปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันโดยห้ามตั้งแสดงบุหรี่แต่ไม่ห้ามแสดงซิการ์ เรื่องนี้ ผมได้พิจารณาว่าเอกอัครราชทูตทำผิดกฎของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ห้ามมิให้ทูตสนับสนุนบริษัทยาสูบอเมริกันในประเทศต่างๆ ผมจึงได้แจ้งไปยังมิตรสหายที่สหรัฐฯ ซึ่งได้ดำเนินการร้องขอให้วุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนอเมริกันร่วมลงนามถึง รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ให้พิจารณาความผิดของทูต เป็นผลให้ทูตผู้นั้นต้องถูกย้ายออกจากประเทศไทยไป  และ        2) สภาหอการค้าไทย แต่งตั้งนายจรณชัย ศัลยพงษ์ผู้อำนวยการฝ่ายบริษัทสัมพันธ์บริษัทฟิลลิปมอร์ริส เป็นประธานคณะอนุกรรมการภาษีสรรพสามิต นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการบริหารภาษีของประเทศ เพราะการเพิ่มภาษีและราคาเป็นยาขนานเอกของการควบคุมยาสูบ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2555 ‘ภาคีปกป้องไทยพ้นภัยบุหรี่’ ได้มีหนังสือถึงประธานหอการค้าแจ้งถึงภัยต่อการควบคุมยาสูบของประเทศและขอมิให้นายจรณชัย ดำรงตำแหน่งที่สำคัญมากนี้
 
ในขณะที่ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยการแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบที่เป็นปัญหาที่สุดในขณะนี้คือ การเคลื่อนไหวของสมาคมผู้บ่ม ผู้เพราะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบไทยที่ออกมาคัดค้านการที่รัฐบาลไทยจะร่วมเห็นชอบกับมาตรา 9 และ 10 ที่เกี่ยวกับการเปิดเผยส่วนประกอบการผลิตบุหรี่ของกฎหมายควบคุมยาสูบโลก จนถึงการคัดค้านการขึ้นภาษียาสูบของกระทรวงการคลังเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยสมาคมดังกล่าวเพิ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมผู้ปลูกยาสูบนานาชาติ ซึ่งสนับสนุนโดยบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ และเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ในขณะเดียวกันโรงงานยาสูบไทยก็ สร้างภาพด้วยการทำซีเอสอาร์โดยอาศัยชาวไร่ยาสูบบังหน้าในการโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และฉายสปอตในโรงภาพยนตร์ ซึ่งการทำซีเอสอาร์และการประชาสัมพันธ์การทำซีเอสอาร์ของบริษัทบุหรี่เป้าหมายหลักคือการยับยั้งมาตรการควบคุมยาสูบ และคงไว้ซึ่งค่านิยมการสูบบุหรี่ กฎหมายควบคุมยาสูบฉบับใหม่จึงควรที่จะห้ามการทำซีเอสอาร์โดยบริษัทบุหรี่ และห้ามการประชาสัมพันธ์การทำซีเอสอาร์ในทุกสื่อรวมถึงในโรงภาพยนตร์  
 
สุดท้าย ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวถึงข้อเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1) ให้รัฐบาลและรัฐสภาร่วมกันเร่งผลักดันกระบวนการลงคะแนนเสียงรับรองพระราชบัญญัติควบคุมยาสูบฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่ออุดช่องโหว่ต่างๆมากมายที่มีอยู่ในกฎหมายเดิม 2) ให้รัฐบาลและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งดำเนินการให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงบริการเลิกบุหรี่และยาช่วยเลิกบุหรี่มาตรฐานได้อย่างเท่าเทียมกันทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือให้เยาวชนและผู้ที่ติดบุหรี่จนไม่สามารถเลิกได้ด้วยตนเอง สามารถหลุดพ้นจากวงจรการเสพติดนี้ได้โดยเร็วที่สุด  ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาวะของเยาวชนไทย และลดโอกาสการเกิดผลกระทบจากควันบุหรี่มือสองต่อเยาวชนไทยไปพร้อมกัน
*********************************** 16 สิงหาคม 2555


   
   


View 15    16/08/2555   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ