วันนี้ (17 มกราคม 2556) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ว่า ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยที่ได้รับการเจาะเลือดและผลการตรวจยืนยันพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 28,000 กว่าราย มีเด็กเสียชีวิต 20 ราย มีทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ เอช1เอ็น1(H1N1) หรือไข้หวัด 2009 ซึ่งขณะนี้เชื้อได้กลายเป็นเชื้อที่พบได้ตามฤดูกาลไปแล้ว และสายพันธุ์ เอช2 เอ็น3 (H2N3) และชนิด บี สาเหตุที่เกิดการระบาดตามฤดูกาลเร็วขึ้น เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นเร็วกว่าปกติทำให้พบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น สำหรับประเทศในเขตร้อนเช่นประเทศไทย การระบาดมักจะเริ่มกลางปีซึ่งเป็นฤดูฝนเป็นต้นไป และยังไม่มีหลักฐานสรุปว่าจะเข้าสู่ฤดูกาลระบาดเร็วกว่าปกติ แต่คาดการณ์ว่าในปีนี้ อาจจะเข้าสู่ฤดูกาลระบาดเร็วกว่าปกติ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบในฤดูกาลระบาดของไทยเป็นเชื้อกลุ่มเดียวกันกับอเมริกา ขอย้ำว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่เหล่านี้ เป็นเชื้อที่เกิดขึ้นทุกปีอยู่แล้ว ไม่ใช่เชื้อชนิดใหม่แต่อย่างใด ทั้งชนิดเอและบีเป็นเชื้อที่ไม่มีความรุนแรงมากกว่าปกติ และไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นเชื้อกลายพันธุ์ เพราะตามปกติเชื้อไข้หวัดใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงเป็นเชื้อใหม่เหมือนในปี 2009 โดยในปี 2555 ไทยพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 60,000 กว่าราย ตลอดช่วงระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา การเสียชีวิตน้อยปีละไม่ถึง 10 ราย ส่วนอเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่ อากาศหนาวเย็น จึงติดเชื้อได้ง่าย จำนวนผู้ป่วยจึงมีมาก
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ขอให้ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ทำให้สม่ำเสมอ เป็นนิสัย เพราะเชื้อจะติดทางการไอ จาม และจากการสัมผัสละอองเสมหะ และน้ำลายของผู้ป่วย สำหรับการฉีดวัคซีน ขณะนี้ ยังไม่มีความจำเป็นต้องฉีดให้กับประชาชนทั้งประเทศกว่า 60 ล้านคน เพราะสถานการณ์การระบาดโรคนี้ในไทยอยู่ในขั้นไม่รุนแรง อาการป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้รุนแรงมาก และมียาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ที่รักษาได้ผลดี กลุ่มที่มีความจำเป็นและควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมี 2 กลุ่ม คือ1.บุคลากรการแพทย์ประมาณ 4 แสนคน เนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการดูแลผู้ป่วยและอาจนำเชื้อไปแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้มาก และ2.กลุ่มเสี่ยง ที่หากป่วยแล้วจะมีความเสี่ยงอาการรุนแรง เกิดโรคแทรกซ้อน โอกาสเสียชีวิตสูง เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่ง 2 กลุ่มนี้ในปีที่ผ่านมาได้ฉีดไปแล้วกว่า 3 ล้านโด๊ส ตั้งแต่มิถุนายน-ตุลาคม 2555 ซึ่งภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้ 1 ปี จึงยังไม่จำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนในปีนี้ให้เร็วขึ้น เพราะยังมีภูมิคุ้มกันเดิมอยู่ และมอบให้กรมควบคุมโรคเฝ้าระวังและประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม แม้สายพันธุ์ย่อยของไข้หวัดใหญ่เอช3เอ็น2 จะไม่ตรงกัน 100 เปอร์เซนต์ แต่วัคซีนเดิมที่ไทยมีอยู่ ยังให้ผลดีในการลดความรุนแรงของอาการป่วยไข้หวัดใหญ่ได้ โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนในปี 2556 ให้แก่ 2 กลุ่มเสี่ยงประมาณเดือนพฤษภาคมรวม 3 ล้านกว่าโด๊ส ซึ่งไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ให้กลุ่มเสี่ยงฟรีตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ส่วนการผลิตวัคซีนชนิดนี้ในไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงาน คาดว่าจะเสร็จในอีก 2- 3 ปีข้างหน้าและสามารถผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไว้ใช้ในประเทศได้เอง ลดการพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศ หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
***************** 17 มกราคม 2556
View 12
17/01/2556
ข่าวเพื่อมวลชน
สำนักสารนิเทศ