“สธ. – ก.ท่องเที่ยวฯ” เปิดงาน "ท่องเที่ยวสุขภาพดี รวมพล 100 ร้าน มาตรฐานสาธารณสุข ล้านนา R1” ยกระดับเศรษฐกิจสุขภาพเมืองเหนือสู่การท่องเที่ยวสุขภาพระดับโลก
- สำนักสารนิเทศ
- 138 View
- อ่านต่อ
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนไม่ควรปลูกสมุนไพรดองดึง ร่วมกับพืชผักสวนครัวที่กินใบ-ผลหรือยอดอ่อน เพื่อป้องกันการเก็บผิดพลาด เนื่องจากดองดึงมีสารหลายชนิดทั้งที่มีสรรพคุณเป็นยาและมีความเป็นพิษสูง ถึงขั้นเสียชีวิต พืชชนิดนี้ต้องใช้โดยผู้มีความรู้เท่านั้น โดยล่าสุดพบเสียชีวิตแล้ว 1 รายที่จ.ศรีสะเกษ จากการกินผลดองดึงเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นผลของต้นสลิด แนะหากพบผู้ป่วยจากการกินลูกดองดึง ให้ช่วยชีวิตเบื้องต้นโดยให้กินไข่ขาวหรือดื่มนมทันทีเพื่อทำให้อาเจียนออกมาให้มากที่สุด เพื่อลดการดูดซึมพิษเข้าร่างกาย และรีบส่งไปโรงพยาบาลทันที
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนใช้สมุนไพร เพื่อการพึ่งตนเอง รักษาอาการเจ็บป่วย ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ โดยตั้งเป้าในปี 2557 จะส่งเสริมให้มีการใช้ยาสมุนไพรให้ได้ร้อยละ 12 และให้โรงพยาบาลทุกแห่งเปิดบริการตรวจรักษาผู้ป่วยนอกด้วยการแพทย์แผนไทยให้ได้ร้อยละ 16 ของผู้ป่วยที่ใช้บริการที่แผนกผู้ป่วยนอก ซึ่งจากการประเมินผลพบว่าได้รับความนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวว่า พืชสมุนไพรมีทั้งไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก ไม้เถา และหัวใต้ดิน สมุนไพรบางชนิดมีสารอัลคาลอยด์ที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์แต่มีความเป็นพิษสูง จะต้องใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ เช่นต้นสมุนไพรดองดึง มีขึ้นในป่าและในชนบทต่างๆ ลักษณะลำต้นเป็นเถา ผลมีความคล้ายคลึงกับพืชผักสวนครัวที่กินใบ ดอก ยอดอ่อน และผลอ่อน หากปลูกสุมไพรดองดึงไว้บริเวณเดียวกัน อาจเกิดความผิดพลาดในการเก็บมารับประทานได้ โดยเมื่อเร็วๆนี้ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบมีรายงานผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการรับประทานลูกดองดึง จำนวน 1 ราย เป็นเพศหญิง อายุ 63 ปี อยู่ที่อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ รับประทานผลดองดึง 2 ผลที่นำมานึ่งรวมกับปลานิล หลังจากรับประทานไปแล้วประมาณ 4 ชั่วโมง มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน อาเจียนหลายครั้ง ปวดบิดท้องอย่างรุนแรง ถ่ายเหลวปริมาณมาก และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วในอีก 1 วันต่อมา
ผลการสอบสวนโรคของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข พบว่าผู้ที่เก็บผลดองดึงไปปรุงอาหาร ไม่รู้จักสมุนไพรดองดึง และเข้าใจผิดคิดว่าผลของดองดึงคือผลของต้นสลิด ซึ่งปลูกติดกับต้นดองดึงและเลื้อยพันกัน โดยในปี 2548 มีรายงานเสียชีวิตจากกินใบดองดึงต้ม 1 ราย ที่จ.ชัยภูมิ จึงต้องให้ความรู้ประชาชนในการปลูกและใช้สมุนไพรอย่างปลอดภัย
แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อว่า จากกรณีการเสียชีวิตดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข ขอย้ำเตือนประชาชนอย่ารับประทานพืชที่ไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจ และไม่ควรปลูกต้นดองดึงหรือพืชที่รับประทานไม่ได้ในบริเวณบ้านหรือปลูกปะปนกับผักสวนครัวที่เป็นไม้เลื้อยคล้ายกัน เช่น เถาสลิด เถาตำลึง เถามะระ ทำให้แยกได้ยาก และประชาชนควรช่วยกันสอนหรือถ่ายทอดความรู้พืชมีพิษต่างๆที่มีในท้องถิ่นให้ลูกหลานรู้จัก หากมีพืชชนิดนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียน ควรล้อมรั้วปักป้ายชื่อของพืชและอันตรายให้นักเรียนรู้จัก เพื่อไม่นำมาบริโภค
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มียาต้านพิษของดองดึง ในการช่วยเหลือผู้ป่วยเบื้องต้นหากสงสัยว่ารับประทานพืชที่มีพิษ มีวิธีการดังนี้คือ ให้ผู้ป่วยกินไข่ขาวหรือดื่มนมทันที เพื่อให้อาเจียนออกมาให้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดการดูดซึมพิษเข้าร่างกาย แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลที่อยู่ใกล้บ้านทันที
ทางด้าน นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกล่าวว่า สมุนไพรดองดึงมีชื่อเรียกตามภาษาถิ่นหลายชื่อคือ ดาวดึงส์ ดองดึง หัวขวาน หัวฟาน พันมหา ก้ามปู ต้นไม้ชนิดนี้เป็นพรรณไม้เถา มีหัวหรือเหง้าใต้ดิน ดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ ออกตามซอกใบบริเวณปลายยอด มีกลีบดอก 6 กลีบ สีสวยสะดุดตา พืชชนิดนี้จัดเป็นเครื่องยาในตำรับยาแผนไทยหลายขนาน ได้แก่ยาสามัญประจำบ้านแผนไทยตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เช่นตำรับยากษัยเส้น หรือยาแก้ปวดเมื่อย เป็นต้น แต่การใช้สมุนไพรชนิดนี้ต้องใช้โดยผู้ที่มีความรู้เท่านั้นและใช้อย่างระมัดระวัง โดยสรรพคุณทางด้านแพทย์แผนไทยมีดังนี้ หัวมีรสร้อน เมา แก้โรคเรื้อน แก้แมลงสัตว์กัดต่อย หัวสดตำพอกหัวเข่า แก้ปวดข้อ แก้ปวดกล้ามเนื้อฟกบวม
ในเหง้าและเมล็ดของดองดึงจะมีสารอัลคาลอยด์หลายชนิดเช่นโคลชิซีน(colchicines), สารกลอริโอซีน (gloriosine),สารซุปเปอร์บีน (superbine) ที่มีพิษอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะสารโคลชิซีน เป็นสารที่มีพิษต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ และมีคุณสมบัติในการแบ่งเซลล์ วงการแพทย์แผนปัจจุบันนำสารโคลชิซีนจากดองดึงมารักษาโรคเก๊าท์และมะเร็งบางชนิด โดยพิษจากการใช้สารชนิดนี้ มีอาการเจ็บปวดตามตัวเหมือนถูกเข็มแทงปากและผิวหนังชา คลื่นไส้รุนแรง ตามด้วยท้องเสีย มีเลือดปน หายใจลำบาก อาจเสียชีวิตได้ใน 3-20 ชั่วโมง
ทั้งนี้จากการศึกษาวิจัยข้อมูลการใช้สมุนไพรดองดึงในต่างประเทศพบว่า ที่อินเดียมีการใช้ประโยชน์ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เช่น ใช้ยางจากปลายใบ รักษาสิว ผงที่ได้จากหัวผสมน้ำมันมะพร้าวใช้รักษาโรคผิวหนังหรือถูกงูกัดและแมงป่องกัด หรือผสมน้ำทาศีรษะคนหัวล้าน ใช้น้ำคั้นจากใบรักษาเหา ส่วนหัวใช้รักษาอาการช้ำบวมและเคล็ดขัดยอกต่างๆ ที่อัฟริกามีการใช้น้ำต้มจากใบดองดึง นำไปทาแก้ไอ แก้ปวด บรรเทาอาการคัดจมูก ใช้สูดดมแก้แพ้
***************************** 21 พฤศจิกายน 2556