กระทรวงสาธารณสุข ขยายบริการศูนย์พึ่งได้ลงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 9,750 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นช่องทางรับแจ้งเหตุและให้การดูแลช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ประชาชนที่ประสบปัญหา 4 กลุ่มเป้าหมายหลัก  ได้แก่ ปัญหาท้องไม่พร้อม การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก และการกระทำรุนแรงในเด็กและสตรี ตามนโยบาย OSCC ศูนย์ช่วยเหลือสังคม เชื่อมโยงบริการแบบสหวิชาชีพ และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ห่วงภัยเงียบบนสื่อสังคมออนไลน์ ชักจูงเด็ก สตรีเป็นเหยื่อความรุนแรงง่ายขึ้น แนะผู้ปกครอง ครู ดูแลใกล้ชิด

          นายแพทย์ประดิษฐ  สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็น“วันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล”  และประเทศไทยได้กำหนดให้เดือนนี้เป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี”  ตั้งแต่ พ.ศ.2542 เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรีอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ต้องยอมรับว่าขณะนี้ ปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งส่งผลกระทบทั้งการบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต และเกิดบาดแผลทางใจ เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในจิตใจ ต้องเยียวยาเป็นเวลานาน ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ขณะนี้ได้เปิดบริการชื่อว่าศูนย์พึ่งได้ ในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งทั่วประเทศ จากการวิเคราะห์สถิติในรอบ 7 ปี มีเด็กและสตรีที่ถูกทำร้ายมารับบริการเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 11,542 ราย เฉลี่ยวันละ 32 รายในปี 2548 เพิ่มเป็น 22,565 ราย เฉลี่ยวันละ 62 รายในปี 2554

          นายแพทย์ประดิษฐกล่าวต่อว่า ในการพัฒนาระบบการช่วยเหลือผู้ที่ถูกกระทำรุนแรง ในปี 2557 นี้ กระทรวงสาธารณสุข จะขยายบริการศูนย์พึ่งได้ให้ครอบคลุมประชาชนที่ประสบปัญหา 4 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ ปัญหาท้องไม่พร้อม การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก และการกระทำรุนแรงในเด็กและสตรี  รวมทั้งปัญหาอื่นๆ เช่นยาเสพติด ติดเกมส์ ติดพนันบอล เป็นต้น ตามนโยบาย OSCC ศูนย์ช่วยเหลือสังคม พร้อมทั้งกระจายบริการลงไปถึงระดับหมู่บ้านในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลซึ่งมี 9,750 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นช่องทางรับแจ้งเหตุหรือทำการคัดกรองช่วยเหลือเบื้องต้น ทำงานเชื่อมโยงแบบสหวิชาชีพ และบูรณาการส่งต่อผู้ประสบปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพัฒนาระบบการตรวจวินิจฉัยทางด้านนิติเวชในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ในการพิสูจน์หาหลักฐานความรุนแรงต่างๆ สนับสนุนบริการของศูนย์ช่วยเหลือสังคม และรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

          “ในช่วงปีหลังมานี้ คนไทยใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อยู่ในโลกส่วนตัวมากขึ้น เช่น เฟซบุ๊ค ไลน์ เป็นต้น จำนวนมากกว่า 10 ล้านคน แนวโน้มปัญหาการล่อลวงทางสื่อเหล่านี้จะมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งในกลุ่มเด็กและผู้หญิง เนื่องจากใช้ง่าย ใช้วิธีสื่อสารผ่านทางตัวหนังสือแทนการพูดคุย โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน หรือไม่ต้องเผชิญหน้า เป็นเรื่องที่น่าห่วงว่าจะชักจูงเด็กและสตรีออกนอกบ้านเป็นเหยื่อความรุนแรงง่ายขึ้น ดังนั้นจึงขอให้ผู้ปกครองหรือครู เพิ่มการดูแลเด็ก และสอนให้รู้จักวิธีใช้สื่ออย่างเหมาะสม ส่วนผู้ใช้สื่อขอให้ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และอย่าหลงเชื่อการชักจูงต่างๆ ควรปรึกษาผู้ที่ปกครองหรือผู้ที่ไว้วางใจ เพื่อป้องกันการนำภัยมาสู่ตัวเอง” นายแพทย์ประดิษฐกล่าว

          ด้านนายแพทย์ชาญวิทย์  ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาทางสังคมที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ได้แก่ ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งไทยพบค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียน และปัญหาการใช้แรงงานเด็ก รวมทั้งปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งอยู่ในการติดตามของประเทศคู่ค้า หากไม่เร่งแก้ไขอาจมีผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไปได้ โดยกระทรวงสาธารณสุข จะเร่งพัฒนาระบบข้อมูลบริการสุขภาพ เชื่อมโยงกับศูนย์ช่วยเหลือสังคมของรัฐบาล ให้เป็นฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ และนำไปใช้ในการวางแผนเพื่อการป้องกันปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกระทำรุนแรง 4 กลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงในกลุ่มเด็กที่พบสูงเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันทุกปี คือถูกกระทำทางเพศ พบมากถึงร้อยละ 74 ของเด็กที่มารับบริการ รองลงมาคือถูกทำร้ายร่างกายร้อยละ 21 ส่วนที่เหลือเป็นการถูกทำร้ายจิตใจ ถูกทอดทิ้งและถูกล่อลวง บังคับแสวงหาผลประโยชน์ เช่น ให้ขอทาน เป็นต้น โดยผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิด เช่น แฟน เพื่อน รองลงมาคือคนที่ไม่รู้จัก ญาติ พี่น้อง ต้นเหตุของการกระทำรุนแรงอันดับ 1 มาจากการรับสื่อลามกต่างๆ ความใกล้ชิด และโอกาสเอื้ออำนวย รองลงมาคือการดื่มเหล้า ใช้สารเสพติด และการทะเลาะ หึงหวง เป็นต้น

          ส่วนในกลุ่มผู้หญิงปัญหาที่พบมากอันดับ 1 คือถูกทำร้ายร่างกายร้อยละ 79  รองลงมาคือถูกกระทำทางเพศ ส่วนที่เหลือถูกทำร้ายจิตใจ ถูกทอดทิ้งและถูกล่อลวง บังคับแสวงหาผลประโยชน์เช่น บังคับให้ขายบริการทางเพศ เป็นต้น ผู้กระทำรุนแรงกว่าครึ่งเป็นสามีและแฟน สาเหตุหลักมาจากการนอกใจ ทะเลาะ หึงหวง รองลงมาคือการใช้สารเสพติด สารกระตุ้น และสื่อลามก หรือความใกล้ชิดต่างๆ นายแพทย์ชาญวิทย์กล่าว

************************************** 24 พฤศจิกายน 2556



   
   


View 12    24/11/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ