รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฝาก อสม. แสดงพลังเป็นกำลังชาติ เคาะประตูทุกบ้าน ให้ความรู้ประชาชนดูแลสุขภาพ ป้องกันโรคไข้หวัดนกหวนกลับมาระบาด และสร้างความเข้าใจร่างรัฐธรรมนูญ กระตุ้นประชาชนร่วมลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ในวันที่ 19 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ วันนี้ (23 กรกฎาคม 2550) นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แพทย์หญิงศิริพร กัญชนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขและคณะ เป็นประธานพิธีเปิดห้องแยกโรคไข้หวัดนก ที่โรงพยาบาลพิจิตร จำนวน 6 ห้อง ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลในจังหวัดจิตรมีห้องแยกโรคครบทุกแห่งแล้วรวม 14 ห้อง ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 2,800,000 บาท และเปิดการอบรมฟื้นฟูศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) จังหวัดพิจิตร จำนวน 1,500 คน และที่จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 1,000 คน เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะ อสม.ในการดูแลส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตวัยแรงงานและผู้สูงอายุ ทั้งโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและโรคมะเร็ง โรคติดต่ออันตราย เช่น โรคไข้เลือดออก และโรคไข้หวัดนก เป็นต้น นายแพทย์วัลลภกล่าวว่า ในช่วงนี้อยู่ในฤดูฝน อากาศมีความชื้นสูง ทำให้เชื้อไวรัสมีชีวิตอยู่ได้ดีและนานขึ้น โดยเฉพาะเชื้อไข้หวัดนก ซึ่งกลายเป็นโรคประจำถิ่น กระทรวงสาธารณสุขได้ขอความร่วมมือ อสม.ทั่วประเทศ เคาะประตูบ้าน ให้ความรู้การป้องกันโรคไข้หวัดนกอย่างต่อเนื่อง เฝ้าระวังการป่วยและเสียชีวิตของสัตว์ปีก และการเจ็บป่วยของประชาชนที่มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีก ให้รายงานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกวัน โดยเฉพาะใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี หนองบัวลำภู และพิจิตร ซึ่งเคยพบผู้ป่วยติดเชื้อตั้งแต่พ.ศ.2547 จนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2549 แต่จนถึงขณะนี้เกือบครบ 1 ปี ทั่วประเทศยังไม่พบผู้ป่วยไข้หวัดนกรายใหม่ อาจทำให้ขาดความตื่นตัวในการเฝ้าระวังโรค จนกลับมาระบาดใหม่ได้ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้โรงพยาบาลในสังกัด ทั้ง 827 แห่ง จัดห้องแยกโรคสำหรับดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจและไข้หวัดนกที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคทางอากาศในโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลจังหวัดมีครบทุกแห่งแล้ว ส่วนโรงพยาบาลชุมชน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2550 นี้ นายแพทย์วัลลภ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ อสม.ไม่ใช่เป็นอาสาสมัครทำงานด้านสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ ขอให้อสม.ทุกคน และ อสม.เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการอบรมเพิ่มพูนความรู้แล้ว นำไปขยายผลให้ความรู้ชาวบ้าน ดูแลส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคเรื้อรัง ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ และเรื่องที่เร่งด่วนขณะนี้คือการลงมติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ขอให้อสม.เคาะประตูบ้านสร้างความเข้าใจร่างรัฐธรรมนูญ กระตุ้นให้ประชาชนร่วมลงประชามติในกระบวนการประชาธิปไตย ************************** 23 กรกฎาคม 2550


   
   


View 5    23/07/2550   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ