กระทรวงสาธารณสุขชี้ไอคิวเด็กไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น ไอคิวอยู่ในเกณฑ์ปกติถึง 2 ใน 3 และมี 42 จังหวัดรวมกรุงเทพมหานคร ไอคิวสูงเกิน 100 ผลสำเร็จจากความร่วมมือส่งเสริมพัฒนาการเด็ก การควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน และการยกระดับคุณภาพศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ มอบนโยบายเพิ่มโอกาส สร้างความเท่าเทียม กำจัดสาเหตุปัญหาโภชนาการ เสริมภูมิคุ้มกันด้านการเลี้ยงดู สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สนับสนุนนโยบายจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เด็กตั้งแต่ปฐมวัยโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
  
 
             วันนี้ (29 กรกฎาคม 2559) ที่ห้องประชุมศาสตราจารย์ นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต และนพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวผลการสำรวจสถานการณ์ระดับสติปัญญา (ไอคิว : IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (อีคิว : EQ) ในเด็กไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พ.ศ. 2559
 

            ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า ในปี 2559 กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิต ได้ดำเนินการสำรวจสถานการณ์ไอคิวและอีคิว เด็กนักเรียนชั้นป.1 ทั่วประเทศจำนวน 23,641 คน พบว่าเด็กมีคะแนนไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ 98.2 ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจในปี 2554 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 94 เด็กไทยมีไอคิวอยู่ในเกณฑ์ปกติถึง 2 ใน 3 หรือร้อยละ 68 ขณะที่เด็กจาก 42 จังหวัดรวมทั้งกทม. มีไอคิวสูงเกิน 100 ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ยังมีเด็กบางส่วนใน 35 จังหวัด ไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังพบเด็กที่มีระดับสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์บกพร่องหรือต่ำกว่า 70 ถึงร้อยละ 5.8 ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานสากลคือไม่ควรเกินร้อยละ 2 โดยเด็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มีปัจจัยเสี่ยงสูงกว่าภาคอื่นๆ ตลอดจนพบว่า เด็กนอกเขตอำเภอเมือง มีระดับไอคิวเฉลี่ย 96.9 ขณะที่เด็กในเขตอำเภอเมืองมีไอคิว 101.5 และเด็กในพื้นที่ กทม. มีไอคิวเฉลี่ย 103.4 ส่วนความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กเป็นไปตามเป้าหมาย ร้อยละ 77 แต่ยังพบเด็กจำนวนไม่น้อยที่ยังต้องการการพัฒนา ปัญหาอีคิวที่พบมากที่สุดคือด้านขาดความมุ่งมั่นพยายาม และขาดทักษะในการแก้ไขปัญหา
 
                จากการศึกษาดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จของกระทรวงสาธารณสุขในการดำเนินงานส่งเสริมพัฒนาการเด็ก การควบคุมป้องกันการขาดสารอาหารในเด็ก ได้แก่ เหล็ก ไอโอดีน และโฟลิก ตลอดจนการยกระดับพัฒนาศักยภาพบุคลากรศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ ร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาไอคิว – อีคิว คือ การอยู่ในพื้นที่ชนบท การมีรายได้ไม่เพียงพอในครอบครัว ตลอดจนสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่พ่อแม่ต้องเข้ามาทำงานในเมือง โดยปล่อยให้ผู้สูงอายุต้องเลี้ยงดูหรือในบางครอบครัวมีการปล่อยปละละเลยเด็ก โดยเด็กที่มีระดับไอคิวต่ำมากๆ มีแนวโน้มจะมีความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิวต่ำร่วมด้วย ซึ่งนโยบายจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เด็กตั้งแต่ปฐมวัย โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย นับเป็นอีก 1 นโยบายสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาส เอื้อต่อการพัฒนาไอคิว อีคิว ให้กับเด็กไทยได้
 
กระทรวงสาธารณสุขจึงบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อเพิ่มโอกาส สร้างความเท่าเทียม กำจัดสาเหตุปัญหาโภชนาการ เสริมภูมิคุ้มกันด้านการเลี้ยงดู สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาไอคิว อีคิว ยกระดับคุณภาพศูนย์เด็กเล็ก พัฒนาศักยภาพบุคลากร ตลอดจนผู้ที่เลี้ยงเด็กให้มีความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงดูเด็กที่เหมาะสมกับวัย มีการฝึกวินัยที่เหมาะสม เพื่อให้เจริญเติบโตเป็นเด็กที่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ มุ่งมั่นพยายาม มีคุณธรรมจริยธรรม และมีความสุขในชีวิต
     
          
                  ด้านนายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตดำเนินการป้องกันปัญหาและส่งเสริมศักยภาพ ไอคิว-อีคิวเด็กไทยใน 3 ระดับ ดังนี้ 1.ส่งเสริมพัฒนาการในสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับโดยให้ความสำคัญต่อเด็กที่มีภาวะเสี่ยงให้ได้รับการช่วยเหลือแก้ไขได้เร็วที่สุด 2.ส่งเสริมการเตรียมความพร้อมก่อนการเข้าเรียน ทั้งทักษะการอ่าน การคำนวณ ผ่านกลไกการเลี้ยงดูและการเล่นที่ถูกต้องในครอบครัวและศูนย์เด็กเล็ก มีเครื่องมือที่ทุกฝ่ายจะใช้ร่วมกันในการกระตุ้นพัฒนาการเด็ก และ3.การติดตามดูแลเด็กต่อเนื่องในวัยเรียนด้วยการคัดกรองปัญหาการเรียนรู้ สมาธิ ออทิสติก อารมณ์และพฤติกรรม เพื่อดูแลช่วยเหลือเด็ก เนื่องจากเมื่อเด็กเข้าถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จะพบปัญหาดังกล่าวประมาณร้อยละ 15 โดยครูจะสามารถคัดกรองและช่วยเหลือเบื้องต้นและพิจารณาส่งต่อระบบสาธารณสุขได้ในโปรแกรมระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่กรมสุขภาพจิตให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมทั้งในทุกพื้นที่ รวมทั้งการฝึกอบรมและเพิ่มพยาบาลจิตเวชเด็กและวัยรุ่นในโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง
                       ด้านนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เด็กที่ขาดอาหาร โดยเฉพาะทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัม จะเป็นเด็กที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ส่งผลให้ติดเชื้อง่าย เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นนาน และรุนแรงมากกว่าเด็กปกติ นอกจากนี้ เด็กที่มีภาวะเตี้ย ยังมีผลต่อการพัฒนาสมองเป็นผลให้เด็กมีสติปัญญาต่ำ ความสามารถในการเรียนรู้บกพร่อง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เฉื่อยชา ดังนั้นกรมอนามัยจึงเฝ้าระวังเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เด็กไทยทุกคนมีโอกาสเจริญเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ โดยส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์ ทารก และเด็กได้รับอาหารอย่างเหมาะสมทั้งชนิดและปริมาณ รวมทั้งการเสริมสารอาหารสำคัญให้เพียงพอ ได้แก่ เหล็ก ไอโอดีน กรดโฟลิก ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี มีน้ำหนักและส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์การเจริญเติบโตเทียบเท่ากับมาตรฐานสากล ซึ่งจะดำเนินการอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง และยั่งยืน โดยเฉพาะพื้นที่ทุรกันดาร ซึ่งจำเป็นต้องเร่งให้ความช่วยเหลือและติดตามดำเนินการเป็นพิเศษ  เพื่อส่งเสริม ป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด รวมทั้งได้ดำเนินการตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ในการจัดทำยุทธศาสตร์การส่งเสริมสุขภาพเด็กไทย เริ่มตั้งแต่ในครรภ์มารดาจนถึงอายุ 18 ปี เน้นการส่งเสริมโภชนาการและการออกกำลังกาย  ตั้งเป้าหมาย 20 ปีข้างหน้า ส่วนสูงเฉลี่ยผู้ชาย 180 เซนติเมตร และส่วนสูงผู้หญิง 170 เซนติเมตร
                                                                     ***************************** 29 กรกฎาคม 2559
 
 
 


   
   


View 21    29/07/2559   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ