กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนป้องกันโรคสุกใส ซึ่งพบมากในเดือนมกราคม-มีนาคมของทุกปี หากป่วยขอให้หยุดเรียน หยุดงานจนกว่าจะหาย ตัดการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน อันตรายถึงแก่ชีวิต

นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูฝน เดือนมกราคมถึงมีนาคมของทุกปี มักพบการระบาดของโรคสุกใส ในปีนี้ตั้งแต่ 1 มกราคม – 19 กุมภาพันธ์ พบผู้ป่วยแล้ว 8,064 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เฝ้าระวังสถานการณ์ระบาด โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก มีโอกาสเกิดการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ง่าย เช่น โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก เรือนจำ เป็นต้น และให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรค หากป่วยขอให้หยุดเรียน หยุดงานจนกว่าจะพ้นระยะการติดต่อคือแผลตกสะเก็ดและแห้งไป ส่วนใหญ่จะประมาณ 5 วันหลังเริ่มมีอาการ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆ  

นพ.โสภณกล่าวว่า โรคนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง โดยทั่วไปไม่พบโรคแทรกซ้อน แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการทางสมองและปอดบวมได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงแก่ชีวิต ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ผู้ที่กินยากดภูมิต้านทาน ทารกแรกเกิด สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงขอให้พบแพทย์เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด 

ด้านนพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคสุกใสเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า วาริเซลลา (Varicella virus) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกับที่ทำให้เป็นโรคงูสวัด โดยเชื้อจะกระจายตัวอยู่ในอากาศ ติดต่อทางการหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย การใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย การคลุกคลีใกล้ชิด สัมผัสน้ำเหลืองจากตุ่มพองใสที่ผิวหนังของผู้ป่วย หลังรับเชื้อประมาณ 10 - 20 วัน จะเริ่มเกิดอาการ มีไข้ต่ำๆ ต่อมาจะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว โดยเริ่มเป็นผื่นแดง ตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสในวันที่ 2-3 วัน หลังจากเริ่มมีไข้ หลังจากนั้นตุ่มจะเป็นหนอง เริ่มแห้งตกสะเก็ด รวมเวลา 5-20 วัน ผื่นอาจขึ้นในคอ ตา และในปาก เมื่อเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต แต่เชื้ออาจหลบอยู่ในปมประสาทและมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดได้ภายหลัง

ในการป้องกันโรค ทำได้โดยล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล ใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้าเช็ดหน้า ปิดปากปิดจมูกทุกครั้งเวลาไอ จาม หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ไม่คลุกคลีใกล้ชิด และไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย ควรแยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ นอกจากนี้ ในเด็กที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนผู้ปกครองอาจพิจารณานำบุตรหลานไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส 2 ครั้ง โดยครั้งแรกให้ฉีดเมื่ออายุ 12-18 เดือน และฉีดครั้งที่สองเมื่ออายุ 4-6 ปี ในกรณีที่ไม่ได้ฉีดเข็มแรกตามอายุที่กำหนด ให้ฉีดเข็มแรกและเข็มที่สองเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 เดือน สำหรับวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไปจะให้ฉีดวัคซีนเช่นกัน 2 ครั้ง แต่ให้ฉีดห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ ทั้งนี้ ประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 นพ.เจษฎา กล่าว

 

********************************  26 กุมภาพันธ์ 2560

 

 

 

 



   
   


View 19    26/02/2560   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ